ยางรถยนต์เป็นเพียงชิ้นส่วนเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนนตลอดเวลา เมื่อถูกใช้งานไปก็ย่อมสึกหรอได้เร็วกว่าส่วนอื่น และการสึกหรอของยางคู่หน้าและยางคู่หลังนั้นไม่เท่ากัน หากเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ยางคู่หน้าจะเกิดการสึกหรอมากกว่ายางคู่หลังเสมอ เนื่องจากล้อหน้าเป็นล้อที่ใช้ในการขับเคลื่อน รับแรงจากการเลี้ยว และการเบรก จึงมีภาระในการทำงานมากกว่าล้อหลัง ทำให้ยางหน้าสึกเร็วกว่าปกติ ดังนั้นการสลับยางรถยนต์จึงจำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ให้ยาวนานขึ้น

   หากผู้ขับขี่ละเลยไม่ทำการสลับยางรถยนต์ จะส่งผลให้ยางรถยนต์สึกหรอไม่สม่ำเสมอ ยางรถยนต์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอายุการใช้งานสั้นลง นอกจากนี้ยังส่งผลให้ประสิทธิภาพการควบคุมรถลดลง ยึดเกาะถนนได้ไม่ดี เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นรถยนต์ทุกคันควรสลับยางรถยนต์เมื่อถึงระยะที่กำหนดไว้ เพื่อให้ยางทั้ง 4 เส้นมีการสึกหรอที่เท่าเทียมกัน

   ดังนั้นการสลับยางรถยนต์ที่ถูกวิธี นอกจากช่วยยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์และการควบคุมรถ การยึดเกาะถนน ทำให้รถมีประสิทธิภาพในการเบรกและการเข้าโค้งที่ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยให้รถประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น เนื่องจากการสลับยางช่วยกระจายการสึกหรอให้สม่ำเสมอ ทำให้ยางมีการยึดเกาะที่ดี และช่วยลดแรงต้านการหมุน ส่งผลให้รถวิ่งอย่่างมีประสิทธิภาพ การสลับยางที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มการขับรถให้ประหยัดน้ำมันขึ้นได้

4 ปัจจัย ที่บ่งบอกได้ว่ายางกำลังเสื่อมสภาพ

1.ดอกยางสึกหรอ : ดอกยางเสื่อมสภาพคืออาการที่ยางรถยนต์มีประสิทธิภาพลดลงจากการใช้งาน ทำให้ดอกยางสึกหรอไม่สม่ำเสมอ หรือมีสภาพผิดปกติ เช่น มีรอยแตกร้าว บวม ปูด หรือสึกจนถึงสะพานยาง ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งเพราะจะลดความสามารถในการยึดเกาะถนนและควบคุมรถ หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรนำยางไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและเปลี่ยนทันที

2.ดอกยางไม่สม่ำเสมอ: สึกเป็นบั้งๆ หรือสึกด้านใดด้านหนึ่งมากกว่าอีกด้านหนึ่ง อาจเป็นสัญญาณว่าศูนย์ล้อมีปัญหา 

3.เนื้อยางแข็งและกระด้าง: เมื่อยางหมดอายุจะแข็งและไม่มีความยืดหยุ่น ลองใช้เล็บจิกดู หากจิกไม่ลงแสดงว่ายางเสื่อมสภาพแล้ว 

4.มีรอยแตกร้าวหรือบาดแผล: รอยแตกหรือบาดแผลที่ลึกถึงโครงสร้างยางควรเปลี่ยนยางทันที โดยเฉพาะแผลที่แก้มยาง